Browse
วันที่ 4 Morioka (จ.Iwate) – OMA (จ.อาโอโมริ)
วันนี้เป็นวันที่ต้องเดินทางกันยาวๆครับ เติมพลังกันตั้งแต่เช้าที่อาหารเช้าโรงแรมกันก่อน
โรงแรมนี้ของกินพื้นๆไม่ค่อยหวือหวามากครับ
แต่อาหารบางอย่างไม่คุ้นเลย ไหนๆก็ไหนๆขอจัดทุกอย่างเลยครับ
สลัดเต้าหู้กับแฮม
ปลาตากแห้งเอามาย่างซอสครับ
คุชิคัตสึ
อาหารโรงแรมต้องมีไส้กรอก
และไข่
ส่วนอันนี้เป็นเผื่อกเคี่ยวกับซอสเนื้อสับ รสหนักเค็มมากครับ ต้องกินกับข้าวจะพอดี
แล้วก็จัดข้าวซักถ้วย
ที่เด็ดของโรงแรมนี้คือขนมปังครับ เอามาเข้าเตาปิ้งร้อนๆนี่ ผมเบิ้ลไปอย่างล่ะ 2ลูก จุกเลย
เตรียมตัวออกเดินทางได้!!! แต่พอมาที่รถ ข้างนอกหนาวมาก ขนาดที่กระจกรถกลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว
มาดูกันใกล้ๆ เป็นเกล็ดน้ำแข็งเกาะซะสวยเชียว ต้องเปิดละลายน้ำแข็งซักพักถึงไปได้ครับ
ที่ใกล้ๆกันนี้จริงๆมีจุดชมวิวสวยๆอยู่ แต่ต้องมาในช่วงฤดูใบไม้ผลิครับ แต่ไหนๆก็มาแล้ว แวะซักหน่อย แล้วจินตนาการเอาว่าเป็นช่วงซากุระบานนน
ดูแล้งๆไม่มีอะไรเลย
แอ่งน้ำที่นี่ก็เป็นน้ำแข็งหมดเลย มานี่ก็มาเหยียบไอ้นี่เล่นแบบชินจังนี่ล่ะ …
วันที่ 6 – Hakodate
หลังจากที่ตื่นเช้ามาหลายวัน วันนี้ตื่นสายหน่อย เป้าหมายของมื้อเที่ยงควบมื้อเช้าวันนี้คือ ราเม็งร้าน Ajisai ที่โด่งดังของ Hakodate มาที่ร้านสาขาหลักกันเลยครับ
สาขานี้ติดกับสถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดัง “โกะเรียวคาคุเทย์”
ร้านอยู่ชั้น 2 นะครับ
ร้านมีหลายสาขาครับ นอกจากที่ฮาโกดาเตะแล้ว ยังมีที่ซัปโปโรด้วย
ตรงใกล้ๆกันนั้นก็มี ร้านแฮมเบอร์เกอร์ลักกี้ปิเอโล่ด้วย
ร้านเปิด 11โมงเช้า – 2ทุ่มครึ่ง หยุดวันจันทร์ครับ ผมมาก่อนเวลา รออีก 10นาที
เข้ามาร้านแล้วซักพักคนก็เริ่มทยอยมา
เมนูที่นี่ครับ
เนื่องจากอยู่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวดังนั้น ที่นี่จะมีเมนูภาษาอังกฤษด้วย …
ตะลุยกินแหลกแถบโทโฮคุ 12วัน 12คืน ตอนที่5-Oma-Hakodate
วันที่ 5 Oma – Hakodate
วันนี้ออกจากโรงแรมมาตั้งแต่เช้าครับ นี่คือหน้าตาโรงแรมที่พักเมื่อคืน เป็นโรงแรมเดียวที่หาข้อมูลจองได้ในแถบนี้ แต่จองผ่านเน็ตไม่ได้ครับ ต้องโทรจองเอา
แวะเยี่ยมชมเมืองหน่อยครับ เมืองนี้เป็นเมืองที่เงียบมากกกกกก เดินไปแทบไม่เจอผู้คนเลย นานน๊านนนจะมีรถผ่านมาคัน
ที่นี่ไม่มีรถไฟมาถึงนะครับ ถ้าจะมาทางถนนต้องขับรถมาเองเท่านั้น หรือนั่งเรือมาจากตัวเมืองอาโอโมริ หรือฮาโกดาเตะก็ได้ครับ
มีป้ายรถเมล์ที่นี่ด้วย
ตารางเดินรถครับ 1-2ชม.จะมีรถมา 1คันครับ แถมเวลาที่ผมถ่ายนี่คือเวลาที่ควรมีรถมาแล้ว ก็ไม่มีมาด้วย o_0
เดินผ่านบ้านหลังนึงมีหมาเฝ้าอยู่ พอผ่านปุ๊บหมาก็เห่าใหญ่เลย ที่เจ๋งคือ หมาหันเข้าบ้านไปตะกุยกระจกเรียกเจ้าของด้วย แสนรู้สุดๆ
คนแถบนี้ส่วนใหญ่ทำอาชีพประมงกันครับ มีเรือจอดอยู่ด้วย
เมืองนี้ถือว่าอยู่จุดเหนือสุดของเกาะฮอนชู ไปตรงแหลมโอมะกันดีกว่า
ตรงจุดนี้ถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวจุดนึง มีรูปปั้นปลามากุโร่ที่เป็นของขึ้นชื่อของเมืองนี้ด้วยครับ
ตำแหน่งกำกับว่าเป็นจุดเหนือสุดของเกาะฮอนชู
ด้านเหนือมีประภาคารด้วย
สลักลายนูนต่ำว่าด้วยเรื่องราวการต่อสู้ของมนุษย์และปลามากุโร่
อันนี้เป็นแท่นหินคำพูดคำคมอะไรซักอย่าง
เสาหินบอกจุดเหนือสุดของเกาะฮอนชู
ตอนแรกนึกว่านกปลอม^^”
เป็ดไม่หนาวหรือไงกัน
ร้านรวงแถวนี้ก็มีเยอะครับ ทั้งร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึก ไม่ใช่ฤดูเที่ยวครับ ร้านส่วนใหญ่จะปิด และหลายร้านก็เลิกกิจการไป เนื่องจากเดินทางมาค่อนข้างลำบาก
มีร้านนี้ที่มีคุณป้าเปิดขายอยู่ เลยแวะเข้าไปช้อปซักหน่อย
มีของพวกของตากแห้งต่างๆ
ด้านในก็มีของที่ระลึกต่างๆมากมาย โดนไปเยอะเหมือนกันครับ ทั้งเสือและพวงกุญแจปลามากุโร่ ^^”
มีลายเซ็นคนดังเพียบ
ที่ใกล้ๆนั้นมีร้านนี้ครับ เป็นร้านที่เล็งไว้สำหรับที่นี่ โอมันสึกุ
เข้าที่ร้านไม่มีลูกค้าเลยครับ
ข้างฝามีรูปปลามากุโร่จากแหล่งนี้มากมาย
มีข่าวเกี่ยวกับปลามากุโร่ของแหล่งนี้ด้วยครับ
ราคาปลามากุโร่ที่นี่ถือว่าเป็นของชั้น1 ความต้องการของตลาดสูงมาก ราคาขึ้นทุกปีๆ อย่างปี 2013 ปลามากุโร่หนักถึง 222กิโล ที่ตลาดปลาสึคิจิ ถูกประมูลไปที่ 155ล้านเยนเลยทีเดียว หรือกิโลล่ะ 7แสนเยน!!!! (แต่ตัวอื่นๆก็ไม่ได้แพงขนาดนี้นะครับ คาดว่าเป็นตัวใหญ่พิเศษ ทุกคนเลยต้องการกัน)
ที่มุมเคาเตอร์ตรงนี้ ก็มีผลิตภัณฑ์ปลามากุโร่ขายด้วย สำหรับคนจะเอาไปกินที่บ้าน
สำหรับปลามากุโร่ที๋จับจากโอมะนั้น จะต้องมีสติ๊กเกอร์กำกับทุกตัวนะครับ
ซึ่งสติ๊กเกอร์ที่แปะไว้นั้น จะระบุ ID ของปลาที่จับ และน้ำหนักด้วย
เอาล่ะ เกริ่นมาเยอะแล้ว มานั่งกินกันดีกว่า
เครื่องเคียงมาก่อนครับ เป็นปลาหมึก เนื้อนุ่มๆอร่อยดี
เอามากินเรียกน้ำย่อย ซาซิมิหอยอาวาบิ สดมากกกกกก เนื้อกรุบกรอบ อร่อยสุดๆ
ของดีของที่นี่ครับ ใครมาเป็นต้องกิน ข้าวหน้าปลามากุโร่3สี (3,000เยน)
ด้วยแสงอาจจะดูสีใกล้ๆกัน แต่ในนี้จะประกอบไปด้วย อากามิ จูโทโร่ และโอโทโร่
คือชิ้นหนามากกกกกกกกกกกกกก
รสชาตินั้นสุดยอดมากๆๆ คนล่ะเรื่องกับมากุโร่ที่อื่นๆอย่างสิ้นเชิงครับ เนื้อสัมผัสที่เด้ง และละลายในคราวเดียวกัน มันนุ่มละมุนแต่ไม่เลี่ยนจนหมดความอยาก ของชั้น1 ตามร้านอาหารในเมืองก็ใช้ปลามากุโร่จากโอมะเป็นส่วนใหญ่ครับ แต่ยากที่จะได้กินปลามากุโร่ได้สะใจและราคาเท่านี้แบบนี้ได้เลย
ในชุดอาหารมีปลามากุโร่ทอดด้วย ได้ความอร่อยอีกแบบนึง
ซดซุปมิโสะซักหน่อย
ของแปลกครับ มากุโร่จิไอ เป็นเนื้อส่วนแกนกลางเอามาทอดครับ รสชาติเข้มข้นมากๆ (นึกถึงเนื้อปลาจะมีเนื้อตรงแกนกลางเล็กน้อยที่สีเข้มๆ รสชาติเข้มข้นๆ) แถมราคาจานนี้ก็แค่ 300เยนเท่านั้น
ไม่หนำใจต้องซาซิมิอีกจาน!!!! คนล่ะเรื่องกับเมื่อคืนเลยครับ
เนื้อปลามากุโร่จากธรรมชาตินั้นคนล่ะเรื่องกับของเพาะเลี้ยงเลยครับ ของเพาะเลี้ยงจะมีมันมากเกินพอดี ทำให้กินแล้วเลี่ยนจนเกินไป
อากามิสีสันสวยงามมากๆ
จูโทโร่
โอโทโร่ของดีมีน้อย (สังเกตว่าสีมันจะไม่ลายมันเยอะเท่ากับของเพาะเลี้ยงครับ)
สำหรับลูกค้าที่นี่จะมีให้สติ๊กเกอร์ว่าเคยมาร้านนี้แล้วด้วย!!!
ร้าน โอมันสึกุ
แผนที่ http://tabelog.com/aomori/A0204/A020403/2005880/dtlmap/
เปิด 8โมงเช้า – 6โมงเย็น
แวะมาเดินเล่นท่าเรือประมงครับ มีเรือจับหมึกเพียบเลย
ตรงใกล้ๆจุดที่ลงปลากัน มีนกอยู่เยอะมาก คาดว่ามารอกินปลาจากชาวประมง
ริมขอบมีหอยเม่นเยอะมาก!!! ถ้าเกี่ยวขึ้นมาได้นี่เกี่ยวมาแล้วครับ
มาที่ท่าเรือเฟอรี่ครับ ตรงจุดนี้กลัวเรื่องเที่ยวเรือเต็ม หรือเปลี่ยนเที่ยวเรือมากๆ เพราะถ้าพลาดนี่กำหนดการเจ๊งเลยครับ เพราะเรือที่มีนั้นวันนึงมี 2รอบเองครับ และรอบที่จะไปคือรอบสุดท้ายด้วย (ราวๆบ่าย2)
เคาเตอร์ซื้อตั๋วครับ คนไม่เยอะมีที่ว่างเพียบ รอดไป^^
มีปลามากุโร่จำลองขนาดเท่าของจริงโชว์อยู่ด้วย
ที่ท่าเรือเฟอรี่นั้นก็แวะซื้อของฝากกันได้ด้วยเช่นกัน
ทางขึ้นเรือครับ
สำหรับคนที่เดินทางด้วยรถก็ขับรถเข้ามาทางใต้ท้องเรือครับ
พอขึ้นมาแล้ว ภายในดูดีมากๆ
มีตู้ขายของอัตโนมัติคอยให้บริการด้วย
มุมนั่งกินข้าวครับ มีโต๊ะ และมีปลั๊กไฟด้วย
นั่งดูทีวีเพลินเลย
สำหรับตั๋วทั่วไปนั้น ไม่มีที่นั่งนะครับ จะเป็นที่ว่างๆจับจองกันได้เลย มีหมอนผ้าห่มบริการด้วย สบายมากๆ
สำหรับที่นั่งก็มีแต่ราคาก็จะสูงขึ้นมาอีกครับ
แล้วก็มีห้องสำหรับชั้นเฟิร์สคลาส
ออกจากฝั่งแล้ว บ๊ายบายโอมะ
นั่งเรือประมาณ ชั่วโมงครึ่ง ก็ถึงฮาโกดาเตะ ซึ่งเป็นเมืองใต้สุดของเกาะฮอกไกโด
ลุยกันต่อเลย
หลังจากเอาของไปเก็บและเช็คอินที่โรงแรมแล้วก็เดินไปกินมื้อเย็นที่ร้านนี้ครับ อุนิมุราคามิ
ร้านนี้เป็นร้านที่เน้นขายอุนิหรือหอยเม่นโดยเฉพาะเลยครับ ซึ่งเมืองฮาโกดาเตะนั้นขึ้นชื่อเรื่องหอยเม่นมากๆ ร้านซูชิดังๆส่วนใหญ่ก็ใช้หอยเม่นจากเมืองนี้ทั้งนั้นครับ
เข้ามาก็มีตู้หอยสดๆทางเข้าเลย
เข้ามาตอนร้านเพิ่งเปิดได้ไม่นานก็มีโต๊ะที่จองกันไว้แล้ว โชคดีที่มาแล้วยังมีโต๊ะว่างอยู่ครับ
ซดชาแล้วรออาหาร
เมนูเรียกน้ำย่อย เป็นหอยเม่นหมักโชยุแบบพรีเมี่ยมครับ ราคาเซ็ตล่ะ 840เยน สำหรับเมนูนี้เดือนมิ.ย.-ส.ค.จะไม่มีขายนะครับ
เมนูนี้จะใช้หอยเม่น 2สายพันธุ์ครับ เริ่มจากพันธุ์ คิตะมุราซากิ
และพันธุ์ เอโซบาฟุน พันธุ์นี้จะสีออกส้มๆครับ รสชาติจะหวานเข้มข้นกว่า
เมนูตัวเอกมาแล้ว อุนิด้ง มาแบบเต็มๆชามเลย 2,940เยน รสชาติหวานละมุนลิ้นมากๆ หอยเม่นอวบอิ่ม เมื่อเอาเข้าปากก็ละลายลงลิ้น รสชาติกระจายไปทั่วไปปาก ไม่มีที่ติเลยครับ
ใครที่ไม่อยากกินหอยเม่นอย่างเดียวก็มีไคเซ็นด้ง หรือข้าวหน้าทะเลด้วย อลังมากๆในราคา 2,520เยน
ซุปใสที่มาก็อร่อย
กราแต๊งหอยเม่น 680เยน 2ที่ 1,300เยน
ไม่ใช่แค่เนื้อมาโป๊ะท้อปปิ้งนะครับ หอยเม่นจะผสมลงไปถึงเนื้อครีมเลย รสชาติหอมหวานอร่อยมากๆ
แม้แต่เมนูเทมปุระหอยเม่นก็มี
ที่นี่เค้าจะห่อใบชิโสะแล้วเอามาทอดครับ
จิ้มซอสกินอร่อยล้ำเลย
ไม่สาแก่ใจต้องจัดซาซิมิหอยเม่นมาอีกซักที่ (1,470เยน)
ค่าเสียหายมื้อนี้ครับ เนื่องจากถูกใจร้านนี้มาก เลยจองสำหรับวันพรุ่งนี้มาซ้ำอีกรอบครับ
ร้าน อุนิมุราคามิ
แผนที่ http://www.hotpepper.jp/strJ000100347/map/?vos=nhppalsa000013
มีเวลาเปิดปิดตามฤดูกาลดังนี้ครับ
[4/16~10/31]
07:30~14:30(L.O.14:00)
17:00~22:00(L.O.21:00)
[11/1~4/15]
11:00~14:30(L.O.14:00)
17:00~22:00(L.O.21:00)
หยุดวันพุธ
หลังจากนั้นก็เดินเล่นท่ามกลางอากาศสุดหนาว ผมค่อนข้างชอบบรรยากาศตอนกลางคืนในเมืองที่นี่มาก พอๆกับที่ซัปโปโร
เดินมาเรื่อยๆมาเที่ยวที่นี่ครับ เป็นกระเช้าขึ้นไปบนยอดเขาฮาโกดาเตะ ที่ว่ากันว่าใครมาที่นี่เป็นต้องขึ้น
ในหนังสือ Michelin Green Guide Japan ให้ 3ดาวเลยทีเดียว
ขึ้นกระเช้าแล้ว
ชั้นบนสุด จะได้เห็นสุดยอดวิว ที่เป็นของขึ้นที่ของฮาโกดาเตะ ถึงขนาดทำมาเป็นลายเสื้อ ห่อขนม ฯลฯ ต่างๆมากมาย
ด้านบนก็มีประดับไฟอย่างกับสวนสนุก
ภายในนี้ก็มีขายของฝาก และเนื่องจากมีคนไทยนิยมมาเที่ยวกันเยอะ ถึงขนาดมีภาษาไทยกำกับขายของกันเลยทีเดียว แต่ขนมชิโระโคอิบิโตะนี่หาซื้อกินง่ายๆในไทยเลยนะครับ ^^”
แต่ผมสะดุดกับขนมนี้มากกว่า
พุดดิ้งนมที่หนักนมมากๆ คือแบบเนื้อเนียนละเอียดพรีเมี่ยมสุดๆ
ตอนกลับก็มีทักเป็นภาษาไทยด้วย
ดึกแล้วแต่ว่ากระเพาะยังเรียกร้อง ที่เมืองฮาโกดาเตะนั้นมีร้านแฮมเบอร์เกอร์ขึ้นชื่ออยู่ร้านนึง ที่มีสาขาเยอะมากๆ ไม่ว่าไปตรงไหนของเมืองเป็นต้องพบเจอ นั่นก็คือร้าน ลักกี้ปิเอโล่
สาขาที่ผมมาอยู่ใกล้ที่พัก เดินมาราวๆ 50เมตรก็ถึงแล้ว
สาขานี้เป็นตีมซานต้าครอส เหมาะกับช่วงคริสต์มาสเลย
ภายในร้านตกแต่งดูยุ่งเหยิงมากๆ
ของเด็ดที่นี่จะเป็นแฮมเบอร์เกอร์สไตล์โฮมเมดครับ ชิ้นใหญ่และหนักเครื่องมากๆ ในราคาเบาๆ
นอกจากนี้ยังมีเมนูข้าวด้วย ทั้งข้าวห่อไข่และข้าวหน้าหมูทอด
มีขนมขบเคี้ยวและน้ำกระป๋องที่เป็นแบรนด์ตัวเองด้วย
มีป้ายประกาศมากมาย ดูไม่หมดครับ
ที่นี่จะแต่งเป็นตีมคริสต์มาสตลอดทั้งปีเลย
ที่นี่จะซื้อกลับบ้านก็ได้ หรือจะกินที่ร้านก็ได้ กินที่ร้านสาขานี้จ่ายตังค์แล้วก็ขึ้นไปชั้นบนเลยครับ
ชั้นบนมีที่นั่งเยอะแยะ
บนนี้ประดับไปด้วยรูปปั้น ตุ๊กตาซานต้าแบบต่างๆมากมาย
ในตู้ก็เพียบ
ด้านบนเพดานก็มี
ใครจะมานั่งโต๊ะใหญ่ๆก็ได้ครับ
แต่ถ้ามากันไม่เยอะก็แชร์โต๊ะนั่งกันนะครับ
ตรงกลางโต๊ะก็มีของตกแต่งอีก
มีน้ำดื่มฟรีบริการตัวเองครับ
หนาวๆแบบนี้ต้องซดกาแฟร้อนๆ
เอาล่ะของกินมาแล้วครับ ชิ้นโตมากกกกกก
อันนี้เป็นเบอร์เกอร์ไชนิสชิเก้นครับ เป็นไก่ทอดปรุงรสแบบจีน
ไก่ชิ้นโต ซอสก็อร่อยครับ เมนูนี้เป็นเมนูยอดฮิตของที่นี่เลย
อีกชิ้น ทงคัตสึเบอร์เกอร์
เป็นหมูทอดครับ ชิ้นค่อนข้างบาง…..แต่ให้มา 2ชิ้น *0*
ใช้ได้เลยครับ ที่นี่เค้าจะปรุงสดๆเมื่อสั่งด้วย
ถ้าใครไม่กลัวอ้วน นี่เลย ออริจินัลละกิโพเต เป็นเฟรนซ์ฟรายราดชี้ส
เอากันให้สุดๆเลยครับ ซี้สสสสสส
ใครที่มาเที่ยวเมืองนี้ มีร้านนี้อยู่ยังไงก็ไม่อดตายครับ ร้านนี้เปิดทุกวันตั้งแต่ 10โมงเช้า-เที่ยงคืนครึ่ง และถ้าเป็นวันเสาร์ก็จะปิดตี1ครึ่งครับ
จบวันที่ 5